ปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เริ่มติดตั้งระบบไฟตัดหมอกหลังมาให้มากขึ้น (แม้ว่ารถยุโรปจะถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมานานแล้ว) แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่าเหตุใดไฟตัดหมอกหลังถึงสว่างแค่ข้างเดียว? จะเป็นการลดต้นทุนของบริษัทรถ หรือเป็นความผิดปกติของตัวรถกันแน่?
“ไฟตัดหมอกหลัง” เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่มีประโยชน์อย่างมากในขณะขับขี่ท่ามกลางฝนตกหนัก หรือขณะที่หมอกลงจัด โดยจะส่องสว่างจ้าเป็นไฟสีแดงคล้ายกับไฟเบรกพุ่งตรงไปทางด้านหลัง และมีความเข้มของแสงสูงกว่าไฟเบรกเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ใช้รถที่ขับตามมาด้านหลังสามารถมองเห็นได้อย่างสะดวกมากขึ้นในขณะที่ทัศนวิสัยย่ำแย่
อย่างไรก็ดี ไฟตัดหมอกจะถูกติดตั้งไว้ที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของตัวรถเท่านั้น ไม่นิยมติดตั้งไว้ทั้งสองฝั่ง เพราะจะทำให้ผู้ใช้รถด้านหลังเกิดความสับสนระหว่างไฟตัดหมอกและไฟเบรกได้ โดยตามกฎหมายของหลายประเทศทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ยังกำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ออกแบบไฟตัดหมอกหลังให้อยู่ห่างจากตำแหน่งของไฟเบรกเพื่อความสะดวกในการแยกแยะด้วยสายตา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้รถยนต์ส่วนใหญ่มีไฟตัดหมอกหลังเพียงข้างเดียวนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ไฟตัดหมอกหลังถือเป็นไฟที่มีความเข้มข้นของแสงสูงกว่าปกติ จึงไม่ควรเปิดใช้งานในขณะที่สภาพอากาศปลอดโปร่งโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้แยงสายตาผู้ร่วมทางด้านหลังได้ หรือแม้แต่ขณะฝนตกเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรเปิดใช้งาน เนื่องจากการเปิดไฟหน้า-ไฟท้ายก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ การเปิดไฟตัดหมอกพร่ำเพรื่อยังถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่า การใช้ไฟตัดหมอกสามารถใช้ได้ต่อเมื่อรถวิ่งในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรคอันเกิดอันตรายในการขับรถ หากมีการใช้ไม่เป็นไปตามลักษณะและเงื่อนไขที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท